ขายของออนไลน์รายได้แบบไหนต้องเสียภาษี วางแผนลดหย่อนภาษีอย่างไร เพื่อช่วยแบ่งเบาภาษีที่ต้องจ่ายจริง
รายได้ที่เกิดจากการขายของออนไลน์ผ่าน Social Media Platform และ Market Place Platform เป็นเงินได้ประเภทที่ 40(8) ซึ่งเป็นเงินได้ของบุคคลธรรมดาที่เปิดร้านขายของออนไลน์โดยส่วนใหญ่ เพราะเป็นเงินได้จากการค้าขายที่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ปัจจุบันใครๆ ก็หันมาใช้อีเพย์เมนต์ (e-payment) โดยธนาคารจะต้องส่งข้อมูลให้กับสรรพากรหากเข้าข่าย “ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ” หรือ ธุรกรรมการฝากเงิน การรับโอนเงิน (เฉพาะเงินโอนเข้าบัญชี) รวมกันทุกบัญชีใน 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคมภายในปีนั้นๆ โดยธุรกรรมลักษณะเฉพาะนี้ไม่ได้กำหนดเฉพาะคนขายของออนไลน์เท่านั้น แต่ใช้กับทุกคน
ถ้าเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งธนาคารจะส่งข้อมูลให้สรรพากร โดยผู้ที่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด จึงควรเตรียมความพร้อมด้วยการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างถูกต้อง เก็บเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ และยื่นแสดงรายการภาษีให้ครบถ้วน
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สามารถวางแผนลดหย่อนภาษีด้วยประกันสุขภาพออนไลน์ที่นอกจากจะได้ความคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยแล้ว ยังนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย อย่างประกันสุขภาพออนไลน์ Easy E-Health ประกันที่เหมาจ่ายค่ารักษาให้ตามจริงสูงสุด 1,500,000 บาท พร้อมค่ารักษาผู้ป่วยนอก OPD (ขึ้นอยู่กับแผนความคุ้มครองที่เลือก) และยังสามารถนำเบี้ยประกันภัยในส่วนคุ้มครองชีวิตไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท และเบี้ยประกันภัยสุขภาพหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท (รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท) ได้อีกด้วย
คนขายของออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออายุเท่าไรหาก คนโสดที่มีรายได้ทั้งปีเกิน 60,000 บาท หรือคนที่มีคู่ (สมรส) ที่มีรายได้ทั้งปีเกิน 120,000 บาท (สมรส) ต้องยื่นภาษี 2 รอบ
หากมีรายได้จากการขายทั้งปีเกิน 1,800,000 บาท ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่มีรายรับเกิน 1,800,000 บาท ณ สรรพากรเขตพื้นที่ ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต และทุกเดือนต้องคำนวณมูลค่าสินค้าเพื่อนำส่งให้สรรพากรทุกเดือน ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค้าเพิ่ม (ภ.พ. 30) ภายใน วันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ภาษีมูลค่าเพิ่มส่งผลโดยตรงต่อการตั้งราคาสินค้าของคนขายของออนไลน์ จึงควรวางแผนไว้ก่อนด้วยการเพิ่มราคาสินค้าเข้าไปอีก 7% ตั้งแต่แรกเพราะลูกค้าอาจจะไม่พอใจได้ถ้าขึ้นราคาสินค้าหลังจากที่ร้านไปจดภาษีมูลค่าเพิ่มหมายเหตุ :
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสรรพากร