สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่กังวลเกี่ยวกับเรื่องภาษี เพราะไม่รู้ว่าการทำธุรกิจขายของออนไลน์จะต้องเสียภาษีแบบไหน หรือมีรายได้เท่าไรถึงเข้าข่ายที่ต้องจ่ายภาษี มาทำความเข้าใจถึงเรื่องนี้กันให้มากขึ้น เพื่อให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สามารถวางแผนลดหย่อนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาษีที่ต้องจ่ายจริงในแต่ละปีได้อย่างคุ้มค่า
พ่อค้าแม่ค้าที่มีรายได้เกิดจากการขายของออนไลน์ผ่าน Social Media Platform และ Market Place Platform จะถูกจัดให้เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(8) ซึ่งเป็นเงินได้ของบุคคลธรรมดา ดังนั้นจึงต้องนำรายได้ส่วนนี้มาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ เมื่อรายได้จากการขายเกินเกณฑ์ที่กำหนด ผู้ประกอบการยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มเติมด้วย
หากขายของออนไลน์จนมีรายได้รวมทั้งปีเกิน 1,800,000 บาท จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายใน 30 วัน หลังจากที่มีรายรับเกินเกณฑ์ดังกล่าว การจด VAT สามารถทำได้ที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่หรือยื่นผ่าน อินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) ทุกเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
อย่างไรก็ตาม การจด VAT จะส่งผลต่อการขายสินค้า ดังนั้นจึงควรวางแผนราคาสินค้าให้ครอบคลุม VAT 7% ตั้งแต่แรก เพื่อให้ราคาไม่ต้องมีการปรับขึ้นในภายหลัง
ปัจจุบันใคร ๆ ก็หันมาใช้อีเพย์เมนต์ (e-payment) โดยธนาคารจะต้องส่งข้อมูลให้กับสรรพากร หากเข้าข่าย “ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ” หรือธุรกรรมการฝากเงิน การรับโอนเงิน (เฉพาะเงินโอนเข้าบัญชี) รวมกันทุกบัญชีใน 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคมภายในปีนั้น ๆ โดยธุรกรรมลักษณะเฉพาะนี้ไม่ได้กำหนดแค่เฉพาะคนขายของออนไลน์เท่านั้น แต่ใช้กับทุกคน
จำนวนเงินโอนเข้าบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไป โดยไม่กำหนดยอดรวมธุรกรรมเงินโอนเข้าบัญชี
จำนวนเงินโอนเข้าบัญชีตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไป โดยยอดรวมธุรกรรมเงินโอนเข้าบัญชีตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป
ถ้าเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งธนาคารจะส่งข้อมูลให้สรรพากร โดยผู้ที่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด จึงควรเตรียมความพร้อมด้วยการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างถูกต้อง เก็บเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ และยื่นแสดงรายการภาษีให้ครบถ้วน
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สามารถวางแผนลดหย่อนภาษีขายของออนไลน์ ปี 2567 ด้วยประกันสุขภาพออนไลน์ที่นอกจากจะได้ความคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยแล้ว ยังนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย อย่างประกันสุขภาพออนไลน์ Easy E-Health ประกันที่เหมาจ่ายค่ารักษาให้ตามจริงสูงสุด 1,500,000 บาท พร้อมค่ารักษาผู้ป่วยนอก OPD (ขึ้นอยู่กับแผนความคุ้มครองที่เลือก) และยังสามารถนำเบี้ยประกันภัยในส่วนคุ้มครองชีวิตไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท และเบี้ยประกันภัยสุขภาพหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท (รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท) ได้อีกด้วย
คนขายของออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออายุเท่าไร หากคนโสดที่มีรายได้ทั้งปีเกิน 60,000 บาท หรือคนที่มีคู่ (สมรส) ที่มีรายได้ทั้งปีเกิน 120,000 บาท (สมรส) ต้องยื่นภาษีร้านค้าออนไลน์ ปี 2567 ทั้งหมด 2 รอบ
ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายนของปีเดียวกัน
ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด.90) วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคมของปีถัดไป
หากมีรายได้จากการขายทั้งปีเกิน 1,800,000 บาท ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01) ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่มีรายรับเกิน 1,800,000 บาท ณ สรรพากรเขตพื้นที่ ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต และทุกเดือนต้องคำนวณมูลค่าสินค้าเพื่อนำส่งให้สรรพากรทุกเดือน ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) ภายใน วันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ภาษีมูลค่าเพิ่มส่งผลโดยตรงต่อการตั้งราคาสินค้าของคนขายของออนไลน์ จึงควรวางแผนไว้ก่อนด้วยการเพิ่มราคาสินค้าเข้าไปอีก 7% ตั้งแต่แรกเพราะลูกค้าอาจจะไม่พอใจได้ถ้าขึ้นราคาสินค้าหลังจากที่ร้านไปจดภาษีมูลค่าเพิ่ม
หักค่าใช้จ่ายตามประเภทของรายได้ที่ 8 เงินได้ตามมาตรา 40 (8) แบบเหมา 40-60% ของเงินได้หรือตามจริง
ประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดถึง 100,000 บาท/ปี สำหรับประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
หมายเหตุ :
การใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร
ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสรรพากร