การออม การลงทุน

Tips ไม่ลับ รวมเทคนิคลดหย่อนภาษีปี 2567

29/11/2567
FWD Thailand

 

สำหรับมนุษย์ออฟฟิศแบบเราอีกหนึ่งภารกิจที่ต้องทำทุกต้นปีก็คือการยื่นภาษีนั่นเอง 
ซึ่งทุกคนก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าเราจะได้รับการลดหย่อนภาษีจากช่องทางต่าง ๆ ตามที่สรรพากรกำหนด แต่การจะได้ลดหย่อนมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคจัดการภาษีของแต่ละคนด้วยเช่นกัน 
 
วันนี้เราจึงมีเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณวางแผนภาษีในปี 2567 นี้ แล้วจ่ายภาษีลดลงในต้นปีหน้า  
แถมบางทีอาจจะมีเงินคืนอีกด้วย ซึ่งจะมีเทคนิคอะไรบ้างไปดูกันเลย  
 
หากอยากรู้วิธีคำนวณรายได้และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คลิก

เทคนิคที่ 1 รู้จักแหล่งที่มาของรายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี

รายได้ คือเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับมาจากการทำกิจกรรมหรือกิจการต่าง ๆ   

ซึ่งมีทั้งเงินได้ที่ต้องนำมาเสียภาษี หรือที่เรียกว่า ‘รายได้พึงประเมิน’ 8 ประเภท และเงินได้อื่น ๆ ที่ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น 

  • เงินที่ได้รับจากบุพการีตามประเพณีไม่เกิน 20 ล้านบาท 

  • เงินได้รับจากบุคคลอื่นตามประเพณีไม่เกิน 10 ล้านบาท 

  • เงินที่ได้จากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือสลากออมสิน 

  • เงินทดแทนจากประกันประเภทต่าง ๆ  

  • เงินค่าบำเหน็จบำนาญของข้าราชการ 

  • เบี้ยยังชีพคนพิการและผู้ที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไป 

  • กำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ 

ซึ่งเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นเหล่านี้ หากเราสับสนและนำมารวมกับรายได้พึงประเมินอื่น ๆ  อาจทำให้เราต้องเสียภาษีเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นได้  ดังนั้นก่อนยื่นภาษีจึงควรตรวจสอบให้มั่นใจว่า รายได้ที่เรายื่นต่อสรรพากรไม่มีส่วนที่ได้รับการยกเว้นติดมาด้วย  

เทคนิคที่ 2  รู้จักรายการลดหย่อนภาษี

การลดหย่อนภาษีคือรายการสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายอนุญาตให้นำมาหักลบกับรายได้ต่อปี ทำให้เมื่อนำไปยื่นลดหย่อนภาษีของปี 2567 ทางออนไลน์ ในช่วงต้นปี 2568 เราจะได้จ่ายภาษีน้อยลง โดยแบ่งเป็น 4 ส่วนง่าย ๆ ตามนี้เลย 

1. ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว 

ผู้ที่มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวและครอบครัว โดยปกติแล้วจะได้ค่าลดหย่อนภาษี ดังต่อไปนี้ 

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท 

  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท 

  • ค่าลดหย่อนบุตร คนละ 30,000 บาท  

บุตรคนที่ 2 เป็นต้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 คนละ 60,000 คน แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน 

  • ค่าลดหย่อนกรณีอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป คนละ 30,000 บาท 

  • ค่าลดหย่อนกรณีอุปการะเลี้ยงดูผู้พิการหรือทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท 

  • ค่าฝากครรภ์หรือทำคลอด ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงและไม่เกิน 60,000 บาท

2. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน 

ผู้ที่มีการซื้อประกัน เงินออม และการลงทุน สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน ดังนี้ 

  • กองทุนประกันสังคม ลดหย่อนได้สูงสุด 9,000 บาท 

  • ค่าเบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ที่ให้ความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป  

  • ประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ รวมทุกกรมธรรม์ไม่เกิน 100,000 บาท 

  • ประกันชีวิตของคู่สมรส รวมทุกกรมธรรม์ไม่เกิน 10,000 บาท 

  • ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ  

  • ประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ ลดหย่อนตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 25,000 บาท 

  • ประกันสุขภาพของพ่อแม่ และคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ ลดหย่อนตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท 

ทั้งนี้ ค่าเบี้ยประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์ และประกันสุขภาพ รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท 

  • กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท 

  • เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท 

  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 

  • กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท  

  • ค่าซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund) ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ      

  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท  

  • ค่าซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้ และไม่เกิน  200,000 บาท  

ทั้งนี้ เมื่อนำค่าซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ มารวมกันแล้วสามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท 

  • ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท    

tax-deduction-tips2.webp

3. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค  

เงินบริจาคมีทั้งหมด 2 ประเภท คือ 

  • เงินบริจาคทั่วไป สามารถลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน 

  • เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และบริจาคเพื่อสถานพยาบาลของรัฐ เป็นแบบลดหย่อนภาษี 2 เท่า โดยในปี 2567 สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้ 

  • เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงสูงถึง 10,000 บาท 

4. ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ 

สำหรับค่าลดหย่อนในส่วนนี้ จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งในปี 2567 มีดังนี้ 

  • Easy e-Receipt 2567 ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการที่มีใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2567   

  • ค่าลดหย่อนเที่ยวเมืองรอง 2567 ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท ตามที่จ่ายจริง สำหรับการไปท่องเที่ยวในจังหวัดรอง 55 จังหวัด ประกอบด้วยค่าบริการท่องเที่ยวมัคคุเทศก์ ค่าแพ็กเกจทัวร์ ค่าที่พักในโรงแรม รีสอร์ต หรือโฮมสเตย์ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม-30 พฤศจิกายน 2567 (รอประกาศเป็นกฎหมาย) 

  • ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัย ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท 

ค่าสร้างบ้านใหม่ 2567-2568 ลดหย่อนได้ 10,000 บาท ต่อจำนวนค่าก่อสร้างที่จ่ายจริงทุก 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยจำกัดค่าก่อสร้างบ้านใหม่สูงสุดไม่เกิน 10,000,000 บาท และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2567-31 ธันวาคม 2568 


เทคนิคที่ 3 มองหาตัวช่วยลดหย่อนภาษี 

สำหรับคนที่ต้องการลดหย่อนภาษีในปี 2567 อาจสงสัยว่าจะสามารถซื้ออะไรได้บ้าง เพื่อช่วยให้การจ่ายค่าภาษีลดน้อยลง เรามีแผนประกันชีวิตและการลงทุนมาแนะนำ ดังนี้   

 

1. แผนประกันชีวิตที่น่าสนใจ 

เพราะค่าเบี้ยประกันชีวิตของตนเองสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ สำหรับประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป อย่าง FWD Easy E-Life แผนประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองนาน 10 ปี ด้วยวงเงินประกัน 1,000,000 บาท แต่จ่ายเบี้ยในหลักพัน ช่วยลดหย่อนภาษีและคุ้มครองชีวิตของคุณไปพร้อม ๆ กัน 

ค้นหาประกันชีวิตที่ช่วยลดหย่อนภาษี คลิก 

 

2. ประกันสุขภาพตนเอง 

ส่วนใครที่มีประกันชีวิตอยู่แล้ว ก็สามารถหาแผนประกันสุขภาพดี ๆ มาลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้ โดยประกันสุขภาพที่น่าสนใจอย่าง ประกัน FWD Prima Care แผนประกันสุขภาพที่พร้อมดูแลค่าใช้จ่ายเมื่อต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และคุ้มครองค่ารักษาต่อเนื่องหลังออกจากโรงพยาบาล หรือ ประกัน FWD OPD Plus ที่ช่วยคุณแบ่งเบาค่ารักษาในกรณีผู้ป่วยนอก เจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือยามที่คุณต้องการ 

 

3. เข้าร่วมกองทุน กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน 

กองทุนเหล่านี้จะเป็นกองทุนที่เมื่อเราลงทุนไปแล้ว องค์กรที่เราทำงานอยู่จะช่วยสมทบเงินเข้าไปเพิ่มเติมจากเงินที่เราลงทุนไปในอัตราที่องค์กรกำหนด โดยการเข้าร่วมกองทุนเหล่านี้สามารถลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย   

 

4. ซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)  

กองทุน SSF หรือกองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาว คือกองทุนที่สนับสนุนให้ประชาชนออมเงินในระยะยาว โดยจะต้องถือครองอย่างน้อย 10 ปี เพื่อจะได้นำมาสามารถนำมาหักภาษีได้   

 

ส่วนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) คือกองทุนที่สนับสนุนในประชาชนมีเงินออมหลังเกษียณ โดยกองทุนประเภทนี้จะต้องถือครองจนถึงอายุ 55 ปี แต่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน 

เทคนิคที่ 4 ข้อควรระวัง

ประกันภัยบางประเภทไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 

ตามเงื่อนไขจากกรมสรรพากร ประกันภัยที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ จะต้องเป็นประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพที่ทำกับบริษัทประกันในประเทศไทยเท่านั้น โดยประกันชีวิตจะต้องที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป และในกรณีที่มีปันผลหรือผลตอบแทน จะต้องได้รับปันผลไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันเท่านั้น  

 

ซึ่งแผนประกันภัยที่มีเงื่อนไขนอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ เช่น ประกันรถยนต์ ประกันวินาศภัย หรือประกันการเดินทาง จะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อประกันภัยมาลดหย่อนภาษี เราจะต้องทำความเข้าใจ และสอบถามบริษัทประกันให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อ 

 

นอกจากเทคนิคทั้ง 4 ข้อที่เราเอามาฝากแล้ว การศึกษารายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมก็จำเป็นเช่นกัน เพื่อให้การวางแผนภาษีของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดภาษีที่ต้องจ่ายในปีหน้าได้แน่นอน 

 

อ้างอิง 
- ค่าลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดา - iTAX 
- เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี - iTAX  
- ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนอะไรได้บ้าง? – กรมสรรพากร