คงจะไม่ต้องพูดพร่ำอะไรให้มาก เพราะเชื่อว่า เลห์ลาดักห์ นั้นคุ้นหูทุกคนกันดีอยู่แล้ว ด้วยความสวยงามของวิวหลักล้าน ทั้งเทือกเขาสูง ไล่ระดับเรียงตัวกันยาวสุดลูกหูลุกตาสลับกับทุ่งหญ้าสีเขียวเป็นหย่อมๆ ตัดกับหิมะสีขาว มองเพลินๆ เคลิ้มนึกว่าอยู่ไอซ์แลนด์ แต่พอเผลอหลับไปแว้บเดียว ลืมตามาดันเจอทะเลทราย เหมือนอยู่กลางซาฮาร่าซะงั้น
ดังนั้นอย่าพึ่งทำเท่ห์ กำเงินหมื่น กดจองตั๋ว แล้วพุ่งตัวออกไปสนามบิน เพราะเราว่าจะเที่ยว
เลห์ลาดักห์ให้สนุกสุดๆ นั้น เพื่อนร่วมทางที่ดี คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดของทริปนี้!
“ไปเที่ยวที่ไหน ยังไม่สำคัญเท่าคนที่ไปด้วย” ประโยคนี้อาจจะขัดใจนักเดินทางสายลุยเดี่ยวไปบ้าง แต่ขอนั่งยัน ยืนยัน นอนยัน ว่าการมีเพื่อนที่รู้ใจสุดๆ (ก็กลุ่มเดียวกับที่นัดแต่ละครั้งยากเหลือเกินนั่นแหละ) เอาไว้ชวนกันชี้นกชี้ไม้ดูวิว เม้าท์มอยคนที่เคยกรี๊ดสมัยเรียน แต่สุดท้ายก็นกทั้งกลุ่ม
หรือจะเปิดคาราโอเกะเคลื่อนที่ในรถ แหกปากร้องเพลงที่ชอบฟังจากช่องมะจัง และออกสเต็ปเด้งรับแรงเหวี่ยงทุกทางโค้งนั้น ทำให้ทริปที่เคยคิดว่าจะโหด ชวนเสียน้ำตา กลับกลายเป็นทริปเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความทรงจำดีๆ แทนได้ง่ายๆเลย
Ladakh (ลาดักห์) ตั้งอยู่ตอนเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งประกอบไปด้วย สองเมืองหลักๆที่นักท่องเที่ยวนิยม คือ Srinagar (ศรีนาการ์) และ Leh (เลห์) แพลนเที่ยวที่ฮิตๆกัน ก็ประมาณ 5-10วัน สามารถไปขี่มอเตอร์ไซต์ตะลุยเอง หรือซื้อทัวร์ท้องถิ่น ที่มาพร้อมคนขับก็ได้
ส่วนตัวเราใช้ทัวร์ของ Mountain View Trek Ladakh โดยสามารถแอด Facebook เจ้าของไปได้เลย ชื่อ Sam นางตอบแชทเฟสเร็วกว่าตอบเมล์อีกค่ะคุณ โดยความดีงาม คือเราสามารถ customize ได้เต็มที่ จะมากลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ อยากไปที่ไหน อยากข้ามที่ไหน แค่บอกนาง เดี๋ยวนางจัดให้พร้อมเสนอแนะโรงแรมมาเรียบร้อย แถมยังสแตนบายช่วยเหลือตลอดเวลาที่อยู่ที่นู่น รถสภาพดี คนขับรถพูดภาษาอังกฤษได้ และใจเย็น พวกเราจะเสียงดัง จะวิ่งไปวิ่งมาเป็นลิงบนรถ จะอ้อยอิ่งถ่ายรูปนานแค่ไหนก็ไม่เคยบ่น หรืออยากแวะ ก็จัดให้ตลอด
**พวกราคา Taxi หรือค่ารถพร้อมคนขับนั้นถูกควบคุมโดยรัฐบาล เป็นราคามาตรฐาน ทุกที่เท่ากัน ไม่ต้องห่วง โก่งราคาไม่ได้อยุ่แล้ว อ้อ! หรือใครเป็นสิงห์นักบิด จะมาเช่ามอเตอร์ไซต์ขับตะลุยเอา ก็ได้อีกอารมณ์ดี แต่อาจจะลำบากนิดหน่อยช่วงหน้าหนาว ที่ถนนบางเส้นจะปิดไม่ให้ผ่านนะ
ด้วยความที่กว่าจะเคลียร์คิวกันมาได้เยอะขนาดนี้ เลยจัดเต็ม ไปรวดเดียวทั้งเลห์ และศรีนาการ์ร์ ใช้เวลาทั้งหมด 9 วันถ้วน และเพื่อให้ตามรอยได้ง่ายๆ เราเรียงให้ทีละวันตามนี้เลยละกันนะ
Day 3 & 4 : Long long way to Nubra Valley
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่รอคอยซะที! วันนี้เราเดินทางออกจาตัวเมืองเลห์ เพื่อไป Nubra Valley โดยไฮไลท์การเดินทางก็คือการนั่งรถยาวนานกว่า 7 ชั่วโมง! และต้องขับผ่านหนึ่งในเส้นทางที่สูงที่สุดในโลก!!! หรือ Khardung La Pass เป็นการเปลี่ยนระดับความสูงอย่างรวดเร็ว จาก 3พันกว่าๆ บนตัวเมือง ขึ้นไปเป็นเกือบๆ 6พันในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งถือว่าอันตรายมาก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังในตอนท้าย
มันเป็น 7 ชั่วโมงที่หลับตาลงไม่ได้จริงๆอะ เหนื่อยก็เหนื่อยนะ นั่งจนเมื่อยก้น แต่มันก็สนุก เวลาได้เห็นอะไรแปลกตา ทั้งรถ คือ เม้าท์กันอยู่ แต่หันไปเจอมุมสวยๆ แต่จอดไม่ได้ บทสนทนาก็จะเงียบลงแป็ปนึง เปลี่ยนเป็นเสียงพร้อมใจกัน กดรัวชัตเตอร์แทน ละค่อยหันมาเม้าท์ต่อ 555 เป็นความสวยๆ งามๆ ที่ทำให้ต้องแลกกันมาด้วยความทรหด อดทน
สำหรับเรา ส่วนตัวชอบช่วงหลังลงจากเขามากๆ ชอบที่วิวมันจะค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากหิมะขาวโพลนแสบตา มาเป็นทุ่งหญ้าสีเหลือง จนค่อยๆ แห้งลงเหลือแค่หิน หน้าผาที่ไล่โทนสี สลับไปมา ยาวไปเรื่อยๆ สุดลูกหูลูกตา จนกระทั่งโผล่มาเจอแม่น้ำสีฟ้าฉูดฉาดออกมาจากฉากหลัง และจบด้วยทะเลทราย!
คืนนี้เราเลือกนอนที่ Nubra Eco Lodge คืนนึง ซึ่งถ้ามาหน้าร้อนจะฟินมากเด้อ เพราะในเต้นท์คือสวย และชิวมาก แต่นี่อุณหภูมิเลขตัวเดียว และลมแรงระดับพัดลมเบอร์ 8 เลยต้องขอย้ายห้องหอบผ้าขึ้นไปนอนบนตึกแทบไม่ทัน 555
ส่วนเช้าอีกวัน เราพุ่งตัวไปที่ Silver Sand Dune ซึ่งอยู่ถัดไปอีกนิดหน่อย ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อฮุนเดอร์ เพื่อลองขี่อูฐ ทำตัวเป็นฟ้าจรดทราย ตามหาเจ้าชายและเจ้าหญิงอะไรยังงั้นอะแกร นั่นคือภาพที่จินตนาการไว้ ว่าจะได้เจออูฐที่สูงสง่า ขายาว เหมือนที่เจอที่โอมานแน่ๆ
แต่อ่าวเฮ้ย! ทำไมน้องอูฐถึงอ้วน และขนพองขนาดนี้ 555 แถมเอะอะ ก็จะล้มตัวลงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นอีก ตลกไปอีกแบบดี ส่วนค่าใช้จ่ายในการขี่ ก็อยู่ที่ 15 นาที 150 รูปีเด้อ ไม่แพงเลย
Day 5 & 6 : Nubra Valley to Pangong Lake
จาก Nubra Valley วันนี้ก็จะเป็นวันทรหดอีกวัน ที่ต้องนั่งรถยาวๆ ร่วม 6 ชั่วโมง แต่เป็นทางเลียบเลาะเขาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องห่วงอาการแพ้ความสูงแล้วทุกคนเลยเอ็นจอยกับวิวได้เต็มที่ และก็เป็นวิวธรรมดาๆ ที่เราจ้องได้ทั้งวันไม่เบื่อเลย ยิ่งดู ยิ่งรู้สึกว่า ธรรมชาตินี่โคตรยิ่งใหญ่อะ ได้อารมณ์เหงาๆ เหมือนหนังเรื่อง Marsian เลย
หลังจากกินก็แล้ว นอนก็แล้ว ร้องเพลงก็แล้ว วนไปวนมาสิบตลบ จนกล้ามเนื้อก้นเกือบเสื่อม ด้านชา ไร้ความรู้สึก ทะเลสีฟ้าสดๆ ก็เริ่มโผล่แง้มตัวออกจากภูเขา ใช่! เรามาถึงปันกองเลค ทะเลสาบน้ำเค็มสีครามสดที่อยู่สูงที่สุดในโลก
Day 8 & 9 : Leh to Srinagar
ส่วน 2 วันสุดท้ายนี้ จริงๆ เราตั้งใจเดินทางด้วยรถไปยัง Srinagar แต่ติดปัญหาถนนปิด เพราะหิมะถล่ม ทำให้ต้องจองตั๋วเครื่องบินกันฉุกละหุก และในความโชคร้ายสุดๆนั้น ก็ยังพอจะมีโชคดีอยู่บ้างตรงที่ วันที่เราจะเดินทาง ตรงกับวันเดียวของสัปดาห์ที่มีเที่ยวบิน! โอ้ย จะบ้าตายค่า
Boat House & Dal Lake หนึ่งในธรรมเนียมของการมาศรีนาการ์ ก็คือการนอนบนบ้านเรือ ทำไมต้องบ้านเรือด้วย? อันนี้เขาว่ากันว่า มีที่มาจาก ชาวอังกฤษที่เข้ามาในแคชเมียร์ และในช่วงแรกๆ ยังไม่สามารถถือครองที่ดินได้ จึงแก้ปัญหาโดยการสร้างบ้านเรือเป็นที่อยู่อาศัยในทะเลสาบ แล้วกลายเป็นที่นิยมของชาวแคชเมียร์ในเวลาต่อมานั่นเอง
ซึ่งรอบที่แล้ว เราพักข้างนอก Dal Lake ก็จะได้อีกอารมณ์นึง คราวนี้เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศมานอนในทะเลสาบดาลดูบ้าง เรารู้สึกว่ามันก็จะส่วนตัวกว่านิดหน่อย แต่ก็ต้องเข้าออกลำบากด้วย เรือชิคาราเสมอ เหมาะกับการนั่งชมวิวเอื่อยๆ จิบชาร้อนๆ และต่อราคากับร้านขายของสารพัดที่แวะเวียนกันมาบุกถึงระเบียงบ้าน ซึ่งใครมั่นใจว่าต่อราคาเก่ง ขอแนะให้มาประลองฝีมือกับพวกนางดูจ้า
สุดท้าย ไปเลห์ คุ้มไหม?
คุ้มมาก! เป็นทริปที่เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า เป็นประสบการณ์ที่สุดๆครั้งนึงในชีวิตจริงๆ มันไม่ได้สบายก็จริง แต่เชื่อว่าสิ่งที่จะได้เห็นนั้นสวยจนหยุดหายใจได้ แต่ถ้าใครจะเถียงว่า มาแค่ดูวิว ก็ดูจากรูปเอาก็ได้ คือจะอธิบายยังไงดีล่ะ ว่า บรรยากาศที่ได้สัมผัส ผู้คนที่ได้เจอ วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ คนที่ไปด้วย
ไปเลห์ เตรียมตัวอะไรบ้าง?
ต้องย้ำตรงนี้ ว่า ทริปนี้ลุยพอสมควร ดังนั้น “เตรียมใจ” ให้พร้อมคือสิ่งสำคัญที่สุด ศึกษาว่าจะต้องเจออะไรบ้าง อันไหนเราไหว ทำ อันไหนไม่ไหว อย่าฝืน และทั้งนอกจากปัจจัยพื้นฐานของการเดินทาง อย่าง Passport, Visa, ตั๋วเครื่องบิน และแพลนการเดินทางแล้ว เราขอเน้นย้ำว่า ควรซื้อประกันติดตัวไว้ด้วย!
ซึ่งรอบนี้ เราซื้อประกันสองแบบ คือ ประกันการเดินทางปกติ ไว้สำหรับชดเชยหากกระเป๋าหาย เครื่องบินดีเลย์ และอื่นๆ กับอีกตัวนึงก็คือ ประกันอุบัติเหตุ ที่การคุ้มครองนั้นจะมากกว่า รวมไปถึงการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ที่บางที ประกันการเดินทางตัวเดียวเอาไม่อยู่ หากมีเรื่องที่ไม่คาดคิด หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น การมีไว้ทั้งสองอย่างติดตัวนั้น อุ่นใจกว่าเยอะ
แน่นอนว่าจะเลือกทำกับบริษัทไหนอะไรยังไงก็ได้ เลือกที่มันแมทช์กับเราที่สุด อย่างรอบนี้เราเลือก ‘ประกันคนกล้า’ จากเอฟดับบลิวดี ที่คุ้มครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท กับเงื่อนไขที่ไม่จุกจิก และเป็นประกันตัวเดียวที่กล้าคุ้มครองครอบคลุมทุกกิจกรรม ทั้งอุบัติเหตุ กีฬา กิจกรรมผาดโผน สาธารณภัย และสงครามกลางเมือง มีประกันอันนี้ติดตัวไว้ละอุ่นใจมาก ไม่ต้องกลัวจะเคลมยาก อยากทำไร เอ้า! ลุย ขอแค่ไม่เมาแอ๋ไปตบตีกับใครมาก็มาก็พอ มีเอฟดับบลิวดีตัวนี้หายห่วงเลย
อีกอย่างที่ต้องเตรียมตัว เตรียมใจ คือ สัญญาณโทรศัพท์ และสัญญาณไวไฟนั่น เป็นยิ่งกว่า แรร์ไอเท็ม ยิ่งช่วงหน้าหนาวนะ บอกพ่อบอกแม่ไว้ได้เลย ว่าจะหายไปกี่วัน เพราะสัญญานล่มจ้า ใช้ไม่ได้ทั้งเมือง ขาดการติดต่อกันประมาณ 3 เดือน ซึ่งมองอีกแง่ มันก็ดีเหมือนกันนะ คงมีไม่กี่ครั้ง ที่เราสามารถโฟกัสอยู่กับการเดินทางตรงหน้าจริงๆ เอ็นจอยปัจจุบัน อยู่กับคนในปัจจุบัน ไม่ต้องห่วง พะวงอย่างอื่นๆ
สุดท้าย เชื่อเราเถอะว่า รูปวิวที่เห็นจากภาพ หรือเรื่องราวที่ได้อ่านจากรีวิวคนอื่น ยังไง๊ ยังไง มันก็ไม่สนุก และดีเท่ากับการ ลองก้าวออกจากความกลัว แล้วไปสัมผัส และสร้างประสบการณ์ในแบบฉบับของตัวเอง อย่ามัวเอาคำขู่ ความกังวลที่เคยได้ยินมาเป็นตัวรั้งเราไว้ โลกมันกว้าง และชีวิตมันสั้น เราอยากให้ทุกคนได้มีความทรงจำล้ำค่าแบบที่ประเมินค่าไม่ได้เป็นของตัวเอง ดังนั้นอย่าเชื่อเราว่ามันดียังไง สนุกแค่ไหน แต่ออกเดินทางไปให้รู้ด้วยตัวเอง
และถึงแม้ว่าเลห์ลาดักห์อาจจะไม่ใช่ที่ๆ สบายที่สุด หรือที่ๆ สวยที่สุด แต่เรากล้าพูดว่าเป็น ที่ๆ ทุกคนควรได้มาซักครั้งในชีวิต โดยเฉพาะมาพร้อมกับเพื่อนเยอะๆ ยิ่งเยอะ ยิ่งสนุก 555 มานั่งคุยเรื่องไร้สาระ ร้อง เล่น เต้นระบำฆ่าเวลานั่งรถแสนยาวนาน ผลัดกันถ่ายรูป ให้กำลังใจกันเวลาเหนื่อย แบ่งไข่ต้มคนละครึ่งฟองตอนหิว แต่ยังไม่ถึงที่พัก เชื่อซิว่า มันจะทริปที่ถูกพูดถึงไปอีกสิบๆ ปีเลย : )