มีคนบอกผมว่า “คนกล้า” ไม่ใช่คนที่ไม่กลัวอะไรเลย แต่คนกล้าคือคนที่สามารถทำสิ่งที่ตัวเองกลัวได้ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีความกลัวอยู่ในใจ นั่นคือ “กลัวความสูง” และอยากลองท้าทายตัวเอง เอาชนะความกลัวนี้ดูสักครั้ง เหมือนเพื่อนจะรู้ใจผม เอาทริปลาวใต้มานำเสนอ มีกิจกรรมหลากหลายทั้งโรยตัวจากน้ำตก โหนสลิง..แน่นอนครับ ผมตอบตกลงทันที!
และทุกครั้งที่ผมออกเดินทาง ผมมักจะเตือนตัวเองว่ามีสิ่งที่เราไม่คาดคิดอยู่ในการเดินทางเสมอ ผมจึงไม่ลืมสิ่งสำคัญอย่าง “การทำประกัน” ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงห้วย ปีนผา โรยตัว ก็สบายใจหายห่วง ผมเลือกทำ ประกันอุบัติเหตุ คนกล้าเอ็กซ์ตร้า ของเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต เพราะว่าสบายใจเรื่องเคลมที่ไม่ยุ่งยาก จะทำกิจกรรมผาดโผนขนาดไหน ก็คุ้มครองครบ แค่ไม่ใช่กรณีทะเลาะวิวาทเท่านั้น นี่แหละครับเคล็ดลับการท่องเที่ยวอย่างสบายใจไร้ขีดจำกัดของผม
สะบายดี “ลาวใต้”
ผมเดินทางด้วยเครื่องบินไปลงที่จังหวัดอุบลราชธานี แล้วนั่งรถต่อไปยังด่านช่องเม็ก ปั้มพาสปอร์ต จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าประเทศลาวคนละ 100 บาท แล้วไปพบกับชายคนหนึ่งที่เรานัดไว้
“อ้ายบุน ทาร์ซานแห่งลาวใต้” ไกด์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกิจกรรมผาดโผน ไม่ว่าจะปีนผา ไต่น้ำตก ล่องแก่ง กิจกรรมมันส์ๆ ไว้ใจอ้ายได้เลยระหว่างนั่งรถจากด่านไปยังที่พักคืนแรก อ้ายบุนเล่าให้ฟังว่าลาวใต้ยังมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ เป็นดินแดนที่มีน้ำตกน้อยใหญ่มากมาย เป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญของประเทศลาว และยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกิจกรรมแบบแอดเวนเจอร์ เช่นโรยตัวลงหน้าผาสูง 80 เมตรที่ตาดสักการะ โหนสลิงข้ามเหวน้ำตกที่สูงกว่า 220 เมตรที่ตาดฟาน ได้ยินอ้ายบุนบอกแบบนี้ ก็เสียวไส้แล้วครับ
น้ำตกแซปองไล
เช้าวันที่สองในลาวใต้ วันนี้เรายังไม่ได้ทำกิจกรรมหวาดเสียวอะไร เราจะไปเที่ยวน้ำตกแซปองไลกันก่อน แซปองไลเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในแขวงอัตตะปือ จำข่าวเขื่อนอัตตะปือแตกเมื่อกลางปีได้มั้ยครับ กระแสน้ำไหลทะลักเข้ามาทำให้ป่าแถบนี้จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก อ้ายบุนบอกว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่สองที่จะเข้าไปแซปองไลหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น แม้แต่เค้าเองก็เพิ่งจะกลับเข้าไปพร้อมกับเรา
สภาพถนนบอกเลยว่าหมดเวลานั่งสบาย ขนาดใช้รถแบบ 4WD ก็ยังไม่รอด...เราติดหล่มอยู่กลางถนน ล้อรถจมลงไปในดินเละๆ ลึกประมาณหน้าแข้ง เร่งเครื่องจนเสียงดังกระหึ่มป่าก็แล้ว ลงไปช่วยกันเข็นก็แล้ว รถแทบไม่ขยับ โชคดีที่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งขับรถผ่านมา เขาช่วยลากรถเราผ่านถนนเละๆ มาได้ “ของสวยๆ งามๆ ก็หาดูได้ยากแบบนี้แหละ” อ้ายบุนพูดประโยคนี้หลังจากพ้นออกมาจากหลุมได้
เราต้องจอดรถก่อนจะถึงน้ำตกเพราะถนนได้รับความเสียหาย บริเวณนั้นมีร่องรอยต้นไม้น้อยใหญ่ถูกแรงน้ำจากเขื่อนแตกถอนหายไปเป็นแถบ อ้ายบุญบอกว่าเมื่อก่อนมีน้ำตกอีกแห่งอยู่ใกล้ๆ แซปองไล แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว มันพังไปเพราะกระแสน้ำ ชวนให้จินตนาการถึงความรุนแรงของน้ำท่วมในครั้งนั้น
เดินจากที่จอดรถไปไม่ไกล ก็เริ่มมองเห็นละอองน้ำฟุ้งกระจาย ยิ่งเดินเข้าใกล้ เสียงน้ำตกก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ภาพตรงหน้าผมคือน้ำตกขนาดใหญ่ยักษ์ ความกว้างประมาณ 200 เมตร พอไปยืนหน้าน้ำตกแล้วเราตัวเล็กนิดเดียวสายน้ำที่ทิ้งตัวลงมาราวกับว่าเราเล่นวิดีโอซ้ำๆ แต่ผมกลับรู้สึกอยากยืนมองมันนานๆ ปล่อยใจให้ธรรมชาติบำบัด ชื่นชมธรรมชาติจนหนำใจเผลอแป๊บเดียว จู่ๆ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มฝนทำท่าจะตก อ้ายบุญบอกให้เรารีบกลับ เพราะถ้าฝนตก ถนนจะเละเทะกว่าเดิม... อาจจะกลับออกไปไม่ได้ และคงต้องนอนกันที่น้ำตกโรยตัวที่ตาดสักการะ
เราต้องเข้าไปนอนกลางป่าหนึ่งคืน รุ่งขึ้นถึงจะไปโรยตัวที่น้ำตก เช้าวันนี้เราจึงจัดของใส่กระเป๋าไปให้พร้อม และเตรียมอุปกรณ์โรยตัวใส่รถอีแต๊ก เรานั่งรถอีแต๊กออกจากหมู่บ้านไปประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงจุดที่ต้องจอดรถแล้วเดินเท้ากันต่อครับ
ทางไปแคมป์เป็นสวนกาแฟที่เดินไม่ลำบากมากนักมีแค่บางจุดที่ขึ้นลงเนินและลื่นบ้าง แต่ที่พีคคือมีทากเยอะมาก แต่ละตัวพร้อมจะดูดเลือด แนะนำว่าให้ใส่ถุงเท้ากันทากหรือพกยากันยุงไปด้วยดีกว่าครับ ไม่นานก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ อ้ายผู้ช่วยจัดการก่อไฟ กางเต็นท์ เตรียมที่นอน
ส่วนอ้ายบุนก็เรียกพวกเรามาฝึกซ้อมวิธีการใช้อุปกรณ์โรยตัว ตั้งแต่รู้จักกับอ้ายบุนมาสองวัน วันนี้อ้ายดูจริงจังเป็นพิเศษ ตั้งใจสอน ทวนวิธีการใช้งาน และตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์อย่างละเอียด อ้ายบุนบอกว่าการโรยตัวค่อนข้างอันตราย เราต้องทำความเข้าใจ และเรียนรู้การใช้อุปกรณ์ให้ดี เพราะความปลอดภัยอยู่ที่สองมือเราเอง...บอกเลยว่าแค่ซ้อมยังตื่นเต้นจนใจเต้นรัวเลยครับ
ถึงเวลาอาหารเย็น เอื้อยคนสวยทำกับข้าวอย่าง ไข่เจียว ผัดผัก หมูยอ ถึงแม้ว่าจะเมนูง่ายๆแบบนี้ แต่พอได้ไปกินในป่าก็อร่อยหมดทุกอย่างจริงๆครับ
ยามเช้าแสงสว่างมาเยือนหน้าประตูเต็นท์ เราตื่นโดยไม่ต้องมีใครปลุก ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้วจัดแจงแต่งตัวให้ทะมัดทะแมงเหมาะสำหรับการโรยตัว กินมื้อเช้าตุนพลังงานเสร็จแล้ว อ้ายบุญจัดการเอาอุปกรณ์ใส่ให้เราตั้งแต่ก่อนออกเริ่มเดินเลยครับ
เราเดินเข้าป่าลึกไปเรื่อยๆ ทางเดินเป็นป่าไผ่สูงชันและลื่นมาก จนทีมงานของอ้ายบุนต้องเอาเชือกมาขึงให้เราไต่ลง ทั้งสนุกทั้งเหนื่อย ลืมเรื่องทากที่จ้องจะดูดเลือดไปเลยครับ
มาถึงน้ำตกที่เราต้องโรยตัวชั้นแรกแล้วครับ อ้ายบุนและทีมกำลังช่วยกันเซ็ทอุปกรณ์และเช็คความพร้อม ส่วนผมยืนใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ มองลงไปถึงข้างล่างแล้วขาสั่น ลักษณะของน้ำตกเป็นหน้าผาตัดลึกลงไป 30 เมตรรอบๆด้านเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด มองไปทางไหนก็เจอแต่ป่า! นี่ถอนตัวไม่ทันแล้วใช่ไหม? ยังไงก็ต้องโรยตัวลงไปเท่านั้น...
หลังจากเซ็ทอุปกรณ์กันเรียบร้อยแล้ว อ้าย 2 คนลงไปก่อนเพื่อไปรอรับอยู่ด้านล่าง ส่วนอ้ายบุญอยู่ด้านบนคอยส่งพวกเรา พอถึงคิวผมไปยืนรออ้ายบุญให้สัญญาณอยู่ริมหน้าผา นาทีนั้นเสียงหัวใจตัวเองดังสุดๆครับ มันเต้นรัวเหมือนกับยิงปืนกล อะไรที่เคยเรียนมาเมื่อวาน ลืมหมด! จุดเริ่มปล่อยตัวเป็นช่วงที่ตื่นเต้นที่สุด คนกลัวความสูงอย่างผม ต้องใช้พลังใจสุดๆ มือกำเชือกแน่น พยายามก้าวขาไต่ลงผาในหัวท่องแต่คำว่า ‘ต้องทำให้ได้’
สุดท้ายพอเท้าแตะพื้น มันเกิดขึ้นหลายความรู้สึกพร้อมๆกัน ทั้งโล่งใจ ดีใจและภูมิใจเลยครับ อ้ายบุญบอกว่า 30 เมตรที่ผ่านมาแค่ซ้อมครับ… #น้ำตาจะไหล ของจริงที่เราต้องเผชิญคือ 80 เมตรเราเดินป่าต่อมาอีกไม่ไกล ก็ถึงจุดโรยตัวจุดที่ 2 ระหว่างรออ้ายเซ็ทอุปกรณ์ เราก็ลองเช็คความสูงดู ...อย่าว่าแต่โรยตัวลงไปเลยครับ แค่ยืนใกล้หน้าผาก็สั่นแล้ว จุดนี้สูงมาก! แทบมองไม่เห็นด้านล่างเลยทีเดียว
พอถึงเวลาลง อ้าย 2 คนลงไปรอรับก่อน ส่วนอ้ายบุญรอส่งเหมือนจุดแรก ความกลัวของผมก็ยังไม่เปลี่ยนเช่นกัน หัวใจเต้นโครมคราม เหมือนจะหลุดออกมาเต้นข้างนอก! ทำใจดีสู้เสือ จับเชือกให้มั่นแล้วเอนตัวลงจากหน้าผา วินาทีที่จับเชือกตัวลอยอยู่กลางอากาศ สมองโล่งคิดอะไรไม่ออก อยากลงไปยืนบนพื้นให้มั่นคงเร็วๆ ขนาดเสียงน้ำตกใกล้ๆ ผมยังได้ยินมันเบากว่าเสียงหัวใจผมอีกครับ หลังจากที่ลงมายืนถึงพื้นได้สำเร็จ ผมยิ้มกว้างสุดๆภูมิใจมากที่ผมวิ่งเข้าใส่ความกลัวแล้วผ่านมันมาได้ การได้ลองเอาชนะตัวเองครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆครับ มันทำให้ผมได้มองเห็นคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเอง
นั่งรถจี๊ปตะลุยที่ราบสูงโบโลเวน
หลังจากพักผ่อนกันที่หมู่บ้านหนองหลวงหนึ่งคืน ได้เวลาโบกมือลาแล้ว...ซึ่งเช้าวันนี้อ้ายบุนจะพาเราไปนั่งรถจิ๊ปเที่ยวไร่กาแฟกันครับ อ้ายบุนพาเรามาทำความรู้กับ ‘อ้ายสอน’ ผู้บุกเบิกทัวร์รถจี๊ป โดยอ้ายสอนแนะนำโปรแกรมคราวๆว่าเราจะนั่งรถจี๊ปสมัยสงครามเวียดนามตะลอนเที่ยวดูหมู่บ้าน ทุ่งหญ้า น้ำตก และนอนในไร่กาแฟของเขา ซึ่งเปิดเป็นโฮมสเตย์ชื่อว่า Mystic Mountain Coffee เรียกได้ว่าเราเป็นคนไทยกลุ่มแรกที่ได้มาท่องเที่ยวเส้นทางรถจี๊ปครับ เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวของที่นี่จะเป็นชาวยุโรปทั้งนั้น
โฮมสเตย์ของอ้ายสอนอยู่ห่างจากจุดนัดพบประมาณ 13 กิโลเมตร หากเป็นถนนธรรมดานับว่าไม่ไกลมากนัก ใช้เวลาไม่นานก็ถึง แต่ถนนเข้าหมู่บ้านของที่นี่...แทบไม่เป็นถนน เต็มไปด้วยหลุมบ่อ คนขับต้องชำนาญในการหลบหลุมสุดๆเวลาในการเดินทางเลยนานกว่าปกติ
กว่าจะถึงที่พัก จัดการตัวเองเอาของเก็บเข้าห้อง ก็ปาไปเกือบเที่ยง เราเลยกินมื้อเที่ยงกันก่อน แล้วค่อยออกไปเที่ยวน้ำตกกันครับ
อิ่มแล้วได้เวลาไปนั่งรถจี๊ปกันได้นั่งจี๊ปเปิดหลังคาโล่ง ขับไปเรื่อยๆผ่านหมู่บ้าน เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านผ่านไร่กาแฟและไร่กระหล่ำ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายก็ชิลดีครับแต่เราไม่ได้นั่งชิลๆชมบ้านชมไร่เท่านั้น การนั่งรถจี๊ปของที่นี่สนุกตรงที่เราจะขับไปตรงไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นถนนเละๆลุยลำธารหรืออยากสร้างทางใหม่ก็ได้ ซึ่ง “อ้ายติ่ง” คนขับของเราเป็นคนที่ชำนาญพื้นที่อยู่แล้ว อ้ายแกพาผมออกจากถนนเส้นเดิม ลุยทุ่งหญ้าที่สูงท่วมหัว สร้างรอยล้อใหม่ๆ เรียกเสียงหัวเราะ เสียงเฮจากทุกคนในรถได้ดีเลยครับ
มาถึงไฮไลท์ของการนั่งรถจี๊ป นั่นคือการไปชม ‘น้ำตกตาดมวน’ น้ำตกขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาก ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเงียบสงบ อ้ายติ่งบอกว่าส่วนใหญ่ลูกทัวร์รถจี๊ปจะมาปิกนิคและเล่นน้ำตกกันที่นี่
หลังจากเก็บเมล็ดกาแฟกันแล้ว อ้ายสอนลองมาคั่วกาแฟให้พวกเราดูกัน อ้ายบอกตั้งแต่วิธีการดูกาแฟรูปแบบต่างๆ สอนวิธีการตรวจสอบความชื้น และการดมกลิ่นกาแฟขณะที่คั่ว ...มันไม่ใช่แค่ปลูกและขายออกไปเท่านั้น ขอบอกเลยว่าจากต้นจนกว่าจะไปถึงจอกมันมีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนเยอะมาก
ใครชื่นชอบในเรื่องการปลูกกาแฟและอยากมานอนพักท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ผมแนะนำเลยครับที่นี่อากาศดีมาก อ้ายบอกว่าหน้าหนาวมีบางวันที่อากาศหนาวติดลบ หน้าร้อนของที่นี่ก็ประมาณ 25 องศาเท่านั้น มาพักที่นี่แล้วนึกอยากมีบ้านอากาศดีๆแบบนี้บ้างเลยครับ
โหนสลิงตาดฟาน
พักสบายๆ ท่ามกลางไร่กาแฟแล้ว กิจกรรมของเราในเมืองลาวใต้ไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ ...ใครมาที่นี่ต้องไม่พลาดทีเด็ดอย่าง “น้ำตกตาดฟาน Tad Fane” ขึ้นชื่อว่าเป็นทีเด็ดย่อมไม่ใช่น้ำตกธรรมดาแน่นอนครับ ที่นี่มีซิปไลน์ ให้นักท่องเที่ยวได้วัดใจกันด้วย
อาการกลัวความสูงของผม ต่อให้ผ่านกิจกรรมที่สูงๆมาเยอะแค่ไหนก็ยังกลัวอยู่ดีครับ ...เหมือนคนที่กลัวแมลงสาบ เจอกี่สิบครั้งก็ยังกลัว แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนไปคือความมั่นใจว่าเราจะผ่านมันไปได้ครับ
และถึงแม้ว่าผมจะขาสั่น เมื่อมองลงไปยังน้ำตกตาดฟานแต่ผมก็ไม่พลาดที่จะลองเล่นซิปไลน์ดูสักครั้ง ซึ่งซิปไลน์ของที่นี่มีทั้งหมด 5 เส้น เส้นที่พีคที่สุดคือเส้นแรกเลยเป็นเส้นที่พาดข้ามน้ำตก สูงจากพื้น 220 เมตร ความยาวประมาณ 500 เมตร สูงและเสียวแต่คุ้มค่าครับ ตอนอยู่บนซิปไลน์เราได้เห็นวิวสวยกว่าเจ๋งกว่าแน่นอน
นอกจากโหนสลิงธรรมดาแล้ว ใครอยากลองสัมผัสประสบการณ์เร้าใจและแปลกใหม่ ต้องลองนั่งเปลกลางสลิง! ไปแกว่งขาเล่นอยู่บนความสูง 220 เมตร มองน้ำตก เหมือนกับที่เพื่อนผมลองนั่ง เธอมาเล่าให้ฟังว่าไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ปกติแค่ซิปไลน์ผ่านไปเร็ว นี่ได้ไปนั่งแกว่งขาแบบนั้นตื่นเต้นสุดๆ ประสบการณ์แบบนี้ต้องลองเองสักครั้งครับ
ล่องแก่งห้วยบังเลียง
หลังจากโหนสลิงเสร็จแล้ว...แรงยังเหลือและยังอยากเที่ยวลาวใต้ให้ครบรส ผมเลยไปล่องแก่ง “ห้วยบังเลียง Houay Bang Lieng” ต่อครับ ซึ่งห้วยบังเลียงที่เราจะล่องกันนั้น มีความยาวทั้งหมด 20 กิโลเมตร ใช้เวลาในการล่องประมาณ 3 ชั่วโมง
ก่อนจะไปล่องแก่งเราต้องเรียนวิธีการพายและวิธีการเอาตัวรอดหากเรือเราคว่ำ ซึ่งเรือที่เราใช้ในการล่องครั้งนี้เป็นเรือยาง นั่งได้สองคน โดยแต่ละลำมีเราและเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องห่วงเรื่องพายเรือไม่เป็น อ้ายทุกคนชำนาญสุดๆครับ
ตลอดเส้นทางที่ล่องเรือ เราเจอกับแก่งน้อยใหญ่ตลอดเส้น นับๆดูแล้วเกิน 20 แก่ง แต่ละแก่งมีความยากง่ายในการพายต่างกัน พอถึงจุดที่น้ำแรงเราต้องคอยลุ้นว่าเรือจะคว่ำหรือไม่เรียกเสียงเฮ เสียงวี๊ดว๊าด ได้สนุกสุดๆครับ
วันสุดท้ายเที่ยวปราสาทหินวัดพู
วันสุดท้ายก่อนโบกมือลาลาวใต้ เราไปเที่ยวกันที่ปราสาทหินวัดพู ซึ่งหากใครมาเที่ยวลาวใต้แล้วไม่ได้แวะมาชมความสวยงามของมรดกโลกแห่งนี้ นับว่าคุณยังมาไม่ถึงลาวใต้ครับ
ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาพูควาย มีค่าเข้าชม 200 บาท หลังจากที่ซื้อตั๋วแล้วจะมีรถพาเราเข้าไปยังด้านในปราสาท ตัวปราสาทของที่นี่นับว่ายังคงสมบูณร์หากเทียบกับเวลาที่ผ่านมานับพันปี จากข้อมูลบอกว่าที่นี่เก่าแก่กว่านครวัดอีกนะครับ การสร้างปราสาทใช้หินทรายและศิลาแลงสร้างขึ้นถวายพระศิวะ การเดินชมแบ่งเป็นสองช่วงคือปราสาทด้านล่างและบนเนินเขา
ด้านบนเขายังมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามทั่วทั้งเมืองปากเซ และมีวัดสำหรับทำพิธี มีโบสถ์ประดิษฐานพระพุทธรูป บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีศิวลึงค์และโยนี มีฐานบูชายันที่ไกด์บอกว่าในสมัยก่อนจะมีการสังเวยหญิงสาวบริสุทธิ์ด้วย
นับว่าเป็นการจบทริปลาวใต้ที่เสร็จสมบูรณ์ได้สัมผัสครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะมันส์ สนุก ชิล ภูมิใจ..หรือแม้กระทั่งกลัว ทริปนี้เป็นการท้าทายตัวเองกระโจนเข้าสู่ความกลัว ตอนแรกก็คิดว่าไม่น่ารอดแต่สุดท้ายแล้วผมก็เอาชนะมันได้ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆเองก็คงมีความกลัวบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจเหมือนผม ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรลองพุ่งเข้าใส่มันดูสักครั้ง บางทีมันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างทีเราคิดก็ได้