พ่อแม่มือใหม่ในปัจจุบันจะศึกษาวิธีการเลี้ยงลูกจากหลายช่องทาง แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับครอบครัวตัวเอง ปัจจุบันมีปัจจัยหลายอย่างเช่น สุขอนามัย สภาพสังคม ที่ทำให้พ่อแม่ยุคใหม่ต้องเพิ่มความใส่ใจ และเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นในการดูแลลูก
สไตล์การเลี้ยงลูกยุคนี้เป็นแบบผสมผสาน คือการนำเอาวิธีแบบคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย มารวมกับวิธีต่างๆ ทั้งจากคุณหมอ คุณพ่อคุณแม่คนอื่นๆ รวมถึงประสบการณ์ตรง จนได้วิธีการในรูปแบบของตัวเอง ซึ่งถือว่าไม่มีผิดไม่มีถูกแต่เป็นสไตล์เฉพาะตัว เพราะจริงๆ แล้วไม่ว่าวิธีการแบบไหน พ่อแม่ทุกคนก็ต่างต้องการที่จะดูแลเอาใจใส่ร่างกายและจิตใจลูกน้อยให้ดีที่สุด แต่ก็ยังมีบางอย่างที่พ่อแม่มือใหม่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
1.แบ่งเวลา
งานก็ต้องทำลูกก็ต้องมีเวลาให้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต้องแบ่งเวลาเพื่อมาดูแลลูกน้อย เพราะตั้งแต่ 0 - 5 ขวบ เป็นช่วงที่ลูกน้อยจะมีการเรียนรู้และซึมซับสิ่งต่างๆ จากพ่อแม่มากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อและคุณแม่ต้องให้เวลาและใส่ใจดูแลลูกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดี
2.หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
เจ้าตัวน้อยมีภูมิต้านทางโรคต่ำ จึงควรหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด คนเยอะ ฝุ่นเยอะ เพราะถ้าเกิดมีเชื้อโรคอาจจะเจ็บป่วย และส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ที่มีภูมิต้านทางโรคมากกว่า
3.ความสนุกไม่เหมือนความตื่นเต้น
ทารกและเด็กเล็กยังบอบบาง การเล่นกับเด็กด้วยการโยนลูกขึ้นลง แกว่งไปมา อาจสร้างความหวาดกลัวให้เด็ก และทำให้สมองที่บอบบางของเด็กได้รับแรงสั่นสะเทือน จนอาจเกิดผลกระทบหรือมีอาการบาดเจ็บในสมองได้
4.เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเด็ก
ผิวของเจ้าตัวเล็กบอบบางมาก ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ซักผ้า ล้างอุปกรณ์ ควรเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เพื่อความอ่อนโยนต่อผิว และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์แรงและมีสารตกค้างสูง
5. ลดอาหารหวาน
ความหวาน โดยเฉพาะขนมก็ไม่สร้างประโยชน์แก่ร่างกาย เพราะจะทำให้เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กติดรสหวานไปจนโต ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆ เนื่องจากการสะสมน้ำตาลตั้งแต่วัยเด็ก
6. หาคนเลี้ยงประจำ ไม่เปลี่ยนบ่อยๆ
คุณพ่อคุณแม่หลายๆ บ้านในยุคนี้ ต้องทำงานนอกบ้าน ทำให้ต้องฝากเจ้าตัวน้อยให้คนอื่นดูแล แต่ถ้าจำเป็นจะต้องฝากเจ้าตัวน้อยจริงๆ ก็ไม่ควรเปลี่ยนคนบ่อยๆ แต่ควรหาคนเลี้ยงประจำ จะได้เป็นการป้องกันผลเสียที่อาจจะเกิดตามมา
การเปลี่ยนคนดูแลไปเรื่อยๆ อาจทำให้เจ้าตัวน้อยเข้าใจว่าไม่มีคนรัก เพราะวัยเด็กยังไม่เข้าใจเหตุผล ถ้าไม่มีพ่อแม่หรือคนที่เด็กอยู่ด้วยบ่อยๆ จนรู้สึกสนิทใจแล้ว เด็กจะรู้สึกเหงาและสร้างกำแพงในใจ ถึงแม้โตแล้วจะเป็นคนร่าเริง แต่ก็ยากที่จะรักและให้ความสนิทใจกับใครสักคน
วัย 0 – 5 ขวบ เป็นช่วงที่เจ้าตัวน้อยจะเปิดรับและจำทุกอย่าง การนำเจ้าตัวน้อยไปฝากเลี้ยง จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ ไม่มีทางรู้เลยว่า ลูกน้อยไปเจอสิ่งใดมา รับสิ่งใดเข้าไป เพราะเด็กจะไม่แสดงออกด้วยการพูดอธิบาย แต่จะแสดงออกด้วยพฤติกรรม ที่พ่อแม่ไม่มีทางเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกน้อย
การฝากเจ้าตัวน้อยกับคุณปู่คุณยาคุณตาคุณยาย อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับพ่อแม่ในยุคนี้เพราะเด็กน้อยจะมีความคุ้นเคยกับคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายในระดับหนึ่ง
7. ใช้ “เหตุผล” แทนการใช้อารมณ์และความรุนแรง
สำหรับเด็ก การใช้อารมณ์และความรุนแรง จะทำให้เกิดความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้น วัยเด็กยังไม่สามารถแยกดีหรือร้ายได้อย่างผู้ใหญ่ เด็กจะจำพฤติกรรมเหล่านี้ไปใช้ต่อ และมองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสังคม
8.เทคโนโลยีไม่ได้ดีเสมอไป
จริง ๆ แล้ววัยเด็กเป็นวัยที่ควรวิ่งเล่น เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็น รวมถึงการบริหารกล้ามเนื้อต่างๆ การปล่อยให้อยู่กับสมาร์ตโฟน เล่นเกมจากแท็บเล็ต อาจส่งผลเสียต่อเด็กในอนาคตได้ มีผลการวิจัยว่า เด็กอายุ 0-7 ปี ไม่ควรได้รับแสงรังสีจากหน้าจอ LCD เพราะเป็นอันตรายต่อสายตาและสมอง ทำให้สมาธิสั้น
9.ช่วงวัยเด็กเป็นเวลาที่มีค่า
การที่พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นคนเก่งเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องเรียนรู้กระบวนการเติบโตของเด็กด้วย เพราะการพาลูกทำอะไรที่ยังไม่เหมาะสมกับวัยของเขา จะทำให้เขาสูญเสียช่วงวัยเด็กที่มีค่าไปอย่างน่าเสียดาย ปล่อยให้ลูกได้เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติ จะทำให้ลูกของเราพัฒนาทั้ง IQ และ EQ ได้ดีกว่าในระยะยาว
สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมของแต่ละบ้านอาจจะไม่เหมือนกัน บางอย่างพ่อแม่อาจจะยึดตามคำสอนหรือตำราต่างๆ บางอย่างอาจใช้สัญชาตญาณความเป็นพ่อเป็นแม่นำทาง หรือปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เพราะไม่มีวิธีตายตัวในการเลี้ยงลูกและทุกบ้านสามารถออกแบบแนวทางที่เหมาะสมเพื่อสร้างความสุขให้กับลูกน้อยได้
ปูพื้นฐานจากการที่พ่อแม่ มีวางแผนเรื่องสุขภาพที่ชัดเจนให้ลูกสัมผัสได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะสัมผัสในการที่พ่อแม่ดูแลเรื่องอาหารการกิน และการดูแลเรื่องความสะอาดในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้เห็นและทำตามจนเป็นนิสัย และที่สำคัญทำให้ลูกน้อยมีภูมิต้านทานของโรคและมีร่างกายที่แข็งแรง ส่งเสริมต่อพัฒนาการที่สมวัย เมื่อลูกไม่สบายต้องปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อความสบายใจ เพราะลูกรักอาจจะยังไม่สามารถเล่าอาการได้ 100% ดังนั้นต้องมี ประกันสุขภาพ
เอฟดับบลิวดี พรีเชียส แคร์ ฟอร์ คิดส์ ที่พร้อมให้ดูแลมากกว่า ด้วยค่าปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม ดูแลจัดเต็ม ค่ารักษาผู้ป่วยนอก OPD เหมาจ่ายต่อปี ตามวงเงินสูงสุดของ OPD ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ดูแลเพิ่มขึ้น หากเจ็บป่วยด้วย 3 โรคร้ายแรง และ 3 โรคร้ายแรงสำหรับผู้เอาประกันภัยที่เป็นเด็กรับเงินชดเชยเพื่อเป็นค่ารักษา และเพิ่มค่าห้องเป็น 2 เท่า ขึ้นอยู่กับแผนที่เลือก