ตัวร้านตั้งอยู่ในซอยพร้อมพงษ์ (สุขุมวิท 39) การเดินทางมาร้านนี้มาได้ทั้งนั่งบีทีเอสลงสถานีพร้อมพงษ์ แล้วต่อรถเข้ามาที่ร้าน หรือถ้าขับรถมาเองก็สะดวกสบายครับ เข้าได้ทั้งทางฝั่งสุขุมวิท และเพชรบุรี
"ถ้าขับมาจากฝั่งเพชรบุรีสามารถจอดรถได้ที่จอดรถของร้านซึ่งเป็นที่จอดรถร่วมกับบริษัทอื่น ในวันธรรมดาจะไม่ค่อยมีที่จอดครับ แต่ตอนเย็นและวันเสาร์อาทิตย์สามารถจอดได้ หรือถ้าให้ชัวร์ขับเลยร้านมานิดจะเจออาคาร BIO HOUSE อยู่ทางขวามือก็เลี้ยวเข้าไปจอดในตึกได้ครับ สามารถจอดฟรีได้ 2 ชั่วโมงโดยนำใบจอดรถมาสแตมป์ที่ร้าน ส่วนถ้าคุณขับมาทางสุขุมวิทแนะนำใช้ที่จอดอาคาร BIO HOUSE จะสะดวกกว่า เพราะถนนบริเวณด้านหน้าร้านเป็นแบบวันเวย์ที่เข้ามาทางถนนเพชรบุรี ดังนั้นจึงไม่สามารถขับสวนเลนไปตรงที่จอดรถของร้านได้"
แต่เดิมที่ตั้งของร้านนี้เป็นร้านอาหารอิตาเลียนครับ อาคารเป็นแบบ 2 ชั้นติดกระจกใส แต่ตอนนี้เปิดให้บริการเพียงแค่ชั้น 1 เท่านั้น ผมชอบการตกแต่งของร้านนี้ตั้งแต่ด้านหน้าที่ตกแต่งด้วยต้นไม้มากมายบรรยากาศร่มครึ้ม พอเดินเข้ามาด้านในก็ได้ยินบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ไพเราะไปทั่วร้านขับกล่อมให้วันธรรมดาเป็นวันที่แสนพิเศษ
ตัวร้านผสมผสานความเป็นคนเมืองกับท้องถิ่นได้อย่างลงตัว โดยการใช้ของตกแต่งอาทิ สุ่มจับปลาดีไซน์เป็นโคมไฟ หมอนลายผ้าขาวม้าสลับกับหมอนอิงสีสันสดใส และที่ผมชอบอีกสิ่งหนึ่งคือกระเบื้องลายเก๋ๆ ตรงกลางร้านได้อารมณ์วินเทจนิดๆ ดูโดยรวมแล้วมีเสน่ห์เหลือเกินเลยครับ
ส่วนเมนูอาหารตามที่ผมเกริ่นไปตอนต้นว่าร้านนี้เป็นอาหารไทยตำรับชาววังแท้ๆ รสไม่จัด แต่เน้นความกลมกล่อม เลือกใช้วัตถุดิบชั้นดี และที่สำคัญอาหารของร้านนี้ไม่ใส่ผงชูรสครับ ซึ่งคนที่ดูแลเรื่องสูตรอาหารของร้านนั้นคือ ผศ.ศรีสมร คงพันธุ์ ปรมาจารย์ด้านอาหารไทยที่บ่มเพาะประสบการณ์อาหารไทยมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันท่านเป็นวิทยากรให้กับวิทยาลัยในวังหญิงและท่านยังเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนการเรือนยิ่งเจริญ ส่วนเชฟผู้ปรุงอาหารของร้านนี้ก็คือเชฟทนสิทธิ์ หลำผาสุข เชฟอาหารไทยที่มีประสบการณ์ทำอาหารไทยมากว่า 30 ปี
เมนูแรกผมสั่งมาทานในวันนี้เริ่มต้นด้วยเครื่องว่างอรรถรส (350 บาท) ซึ่งเป็นเมนูมงคลที่คนไทยสมัยก่อนมักเสิร์ฟให้แขกที่มาเยี่ยมเยียนในช่วงปีใหม่ ประกอบไปด้วย ช่อม่วง จีบนก ถุงทอง ประทัดลม หมูโสร่ง กระทงทองหมี่กรอบ และข้าวตังเมี่ยงลาว เสิร์ฟมาในตะกร้าสานแบบไทย ซึ่งขอสารภาพว่าทั้งตะกร้านี้ผมรู้จักไม่ถึงครึ่ง อย่างประทัดลม เป็นเมนูของว่างทานเล่นที่ผมเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยตัวไส้ทำจากหมูห่อด้วยฟองเต้าหู้ มัดหัวมัดท้ายให้เหมือนท๊อฟฟี่แล้วนำไปทอด พอไปทอดตรงหัวและท้ายจะบานออกคล้ายประทัดคนโบราณเลยให้ชื่อว่าประทัดลม มีความหมายเป็นมงคลหมายถึงชื่อเสียงขจรขจาย
ส่วนข้าวตังเมี่ยงลาว ผมเคยได้ยิน แต่ไม่เคยกินครับ ซึ่งเมนูนี้เสิร์ฟมาในช้อนสีขาว ตัวไส้ลักษณะกลมที่วางบนข้าวตังทำจากวัตถุดิบถึง 7 อย่าง ได้แก่ หมู ถั่วลิสง ขิง สามเกลอ (รากผักชี กระเทียม พริกไทย) มาผัดรวมกัน ห่อด้วยใบผักกาดดอง ตัวไส้รสกลมกล่อมทานกับข้าวตังแล้วเข้ากันมากๆ ครับ ส่วนหมูโสร่งของที่นี่หน้าตาน่ารักมากๆ ดูแล้วเหมือนตะกร้อเล็กๆ เลยล่ะครับ และยิ่งหันมาเจอจีบนกก็น่ารักและประณีตมากๆ โดยตัวไส้ของทางร้านจะทำมา 3 ไส้ ได้แก่ ไส้ปลา ไส้หมู และไส้เจ ซึ่งถ้าคุณไม่ทานไส้ไหนสามารถสั่งกับทางร้านได้เลยครับ
ส่วนใครที่ชอบทานเมนูหลนเหมือนผมมาที่นี่คุณต้องถูกใจกับเมนูหลนปูก้อน (520 บาท) ที่ใช้เนื้อปูม้าเน้นๆ ชิ้นโตๆ ใส่ในหลนที่หอมอร่อย รสชาติกลมกล่อม ทานคู่กับผักสดทั้ง แตงกวา ถั่วฝักยาว ขมิ้นขาว ผักกาดขาว ใบบัวบก ดอกโสน ถั่วพู และดอกอัญชัน พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมแล้วครับ
ต่อด้วยปลากะพงทอดน้ำปลา (430 บาท) โดยเคล็ดลับความอร่อยของร้านนี้คือการใช้น้ำปลาอย่างดีและไม่เค็มจัด แล้วนำน้ำปลากับน้ำตาลไปเคี่ยวในหม้อแรก ส่วนหม้อที่สองใช้น้ำตาล กับน้ำมะขามเปียกเคี่ยวด้วยกัน เหตุผลที่ไม่เคี่ยวรวมกันนั้น เชฟทนสิทธิ์ เล่าให้ฟังว่า น้ำมะขามเปียกจะทำให้น้ำปลาเป็นสีเข้ม จึงต้องแยกเคี่ยว 2 หม้อแล้วค่อยนำมารวมกัน ทำให้น้ำปลาของร้านนี้ใสน่าทาน
ส่วนปลากะพงที่ใช้ ทางร้านเลือกใช้ปลากะพงไซส์ 650-700 กรัม เลาะก้างแล้วแผ่ออก นำไปทอดในน้ำมันร้อนๆ ให้เป็นสีเหลืองทอง เสิร์ฟมาพร้อมกับยำมะม่วงที่ต้องใช้มะม่วงเปรี้ยวเท่านั้น ใส่ถั่วลิสง พริกขี้หนู หอมแดง โรยด้วยกุ้งแห้งป่น เวลาทานก็ตักน้ำยำราดลงไปบนตัวปลา รสชาติเผ็ดไม่มากครับ และกลมกล่อมอร่อยมากๆ
ที่ตั้ง : ซอยสุขุมวิท 39 (ซอยพร้อมพงษ์) เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
เวลาเปิด : ทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น.
ราคา : 135-1250 บาท
เบอร์ติดต่อ : 064 249 4244